25 กรกฎาคม 2553

ขายตรงในฝัน


ในฝันในที่นี้เราหมายถึงในฝันตรงตัวเลย คือเป็นขายตรงที่ไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้ เพราะอะไร ในเมื่อระบบดี สินค้าก็แสนจะดี ?? คงมีคำตอบในใจกันอยู่แล้วไม่อธิบายไรซ้ำเติมละนะ มาเข้าเรื่องที่จะพูดดีก่า พอดีเมื่อเช้าไปอ่านกระทู้ดราม่าเข้า ประมาณว่าคบกับแฟนอยู่ แฟนเป็นคนดีมาก แต่พอเค้าพบกับขายตรงเจ้านึง แล้วเค้าก็เปลี่ยนไป บลา บลา บลา...

วันนี้เลยอยาก(บังอาจ)แนะนำสำหรับใครที่กำลังคิดจะรวยทางนี้ ไม่ให้เสียเพื่อน ไม่ให้เสียโอกาสที่ควรจะได้ และไม่ให้เสียเวลาที่อุตส่าทุ่มเทไป (ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เกริ่นเล้ย 555)

1 หาบริษัทที่ไม่หลอกลวง มีสินค้าดีจริง มีระบบดีจริงให้เจอก่อน
ซึ่งตอนนี้ก็มีอยู่เยอะ หาได้ไม่ยาก ถ้าไม่มั่นใจตรวจสอบได้จากในเว็บเนี่ยแหละ สงสัยตรงไหนเสิรชกูเกิลมีคำตอบให้มากมาย อ่านไม่หมดเลยทีเดียว

2 ดูว่าสินค้าลักษณะใด เหมาะกับสไตล์การใช้ชีวิตของเรา
บางคนไม่มองเรื่องนี้แต่เราว่ามันก็สำคัญเหมือนกันนะ สาว ๆที่ชอบแต่งหน้า แต่งตัว ขายตรงพวกเครื่องสำอางค์ก็น่าจะรุ่งอยู่เพราะวันๆก็ขลุกอยู่กับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ขายได้ไม่ได้ก็อยู่กับหน้าตาที่แต่ง ถ้าแต่งออกมาเจิดมาก จากสาวพื้นๆเป็นสาวเกาหลีได้ โอกาสขายของได้มีมากมาย ว่าไปสาว ๆบางคนก็ไม่คิดไรมากหรอก จะบำรุงไร 7 ชั้น จะมีนวัตกรรมไรมหัศจรรย์ สรุปสุดท้ายคือ แล้วออกมามันสวยไม๊ล่ะต่างหาก

ชาวนาชาวสวนจะให้ไปขายอุปกรณ์ไฟฟ้าก็ใช่ที่ ลูกค้าน้อยคนนักที่จะเชื่อมั่นและยอมซื้อ ก็หาขายตรงที่เกี่ยวกับสินค้าเกษตรที่เราคุ้นเคย ใช้ไปขายไป ลัลล้า เพราะยังไงก็ใช้อยู่แล้ว ตัวเรากล้าใช้ของที่เราขายก็เป็นการการันตีระดับนึง ผลผลิตที่ได้ก็การันตีตอกย้ำเข้าไป จริงๆแค่นี้ก็มีคนมาถามหาถึงบ้านแล้วว่าใช้อะไร ง่ายเนาะ

3 หาบริษัทที่ไม่ต้องทำยอดรักษาตำแหน่ง หาที่ได้ตำแหน่งแล้วได้เลย
ที่บอกว่าค่ารักษายอด ยังไงก็ได้สินค้ามา ยังไงก็ต้องใช้อยู่แล้ว ถามจริงๆ ว่าใช้จริง ๆหรือเหตุการณ์มันบังคับให้ใช้ ถ้าเค้าไม่บังคับให้รักษายอดจะซื้อไม๊ การที่ต้องเสียค่ารักษาตำแหน่งเพื่อให้ได้ยอดจากลูกทีม ไปๆมาๆ เครือข่ายของคุณก็จะเป็นเครือข่ายในฝัน เพราะคนใหม่ๆ ถ้าทำแล้วไม่ได้เห็นรายได้ แถมต้องเสียเงินทุกเดือน ๆ ไปกับการรักษายอดอีก ไม่นานเค้าก็จะไป อีกอย่างมันจะมีอิสรภาพได้ยังไงถ้ายังต้องตามรักษายอดทุกเดือน

4 ต้องเป็นคนมีไฟในตัวเอง จุดไฟให้ตัวเองได้พอสมควร ไม่หวังพึ่งแม่ทีมหรือลูกทีม
ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่ต้องยุ่งกับคนล้วน ๆ โอกาสที่จะท้อ สิ้นหวัง จากคำปฎิเสธ ดูถูก ถากถางมากมายนัก แม่ทีมหรือลูกทีมไม่สามารถมาคอยจุดไฟเราได้ตลอดเวลา อีกอย่างเท่าที่สังเกตุ สายไหนแม่ทีมมีไฟตลอดเวลา ลูกทีมก็จะฮึกเหิมตาม สายไหนแม่ทีมเอื่อยเฉื่อย ลูกทีมก็จาเนือยตามๆกันมาแล้วก็ล้มหายตายจากกันไป

5 จะขายของก็บอกไปเลยว่าขายของไม่ต้องอ้อมค้อมหรอก เพราะสุดท้ายก็ขายของนั่นแล่ะ ถ้าของดีจริงต้องขายได้สิ ที่หลายๆ คนเสียเพื่อน เสียแฟน โดนเลิกคบเพราะไปหลอกล่อ เชิญชวนต่าง ๆ นาๆ ไม่พูดความจริงนี่ล่ะ อาศัยความเกรงใจชาวบ้านมาทำให้ตัวเองรวย ไม่ดี ๆ

6 อันนี้ต่อจากข้อ 5 หัดมีความเกรงใจ จริงใจ รักจะเป็นนักขาย(อย่าปฎิเสธเลยว่าไม่ได้ขาย)ก้อต้องศึกษาหัวใจนักขาย หัวใจการบริการ ไม่รู้ใครถ่ายทอดวิชาไอ้ที่ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลกให้กับการขายตรง ไม่ซื้อไม่ไป ก็โอเคนะถ้าคุณอยากได้ยอดแรกและยอดสุดท้ายในเวลาเดียวกัน เพราะความประทับใจมันไม่มี เค้าซื้อเพราะตัดปัญหามันจะได้ไปๆ ซะ แต่ต่อไปเค้าจะปิดประตูไม่แม้แต่จะให้โอกาสได้พูดคุยเลยทีเดียว

7 ทำบัญชีรายรับ รายจ่าย
จากที่เคยฟังแผนธุรกิจเครือข่ายมาก็เยอะไม่ยักกะมีที่ไหนบอกให้ทำบัญชีรายรับ รายจ่าย หรือเค้ากลัวรู้ว่าจะจ่ายมากกว่ารับ จริงๆมันเป็นเรื่องสำคัญมากๆ อย่างแค่คุณไปขายน้ำดื่มที่ตลาดนัด คุณลงทุนเท่าไร กำไรเท่าไร คุณจะคิดไม๊ แต่ทำไมพอมาทำขายตรงกลับไม่คิดกัน สอนกันแต่ว่าธุรกิจมันต้องลงทุน แต่ไม่บอกด้วยว่า ควรจะจด ควรคำนวณ และหาเวลาคุ้มทุนให้ได้ ค่าโทรศัพท์ ค่าเดินทาง ค่าสินค้าทดลอง ค่ารักษายอด นี่ไม่ถือเป็นเงินที่เสียจากการทำธุรกิจหรอ ถ้ามีแต่จ่าย ๆๆ มากกว่ารับทุกเดือน ขอให้เลิกธุรกิจนั้นซะ มันไม่เหมาะกับคุณแล้วล่ะ ถึงแผนจะดี สินค้าจะดี คนอื่นเค้าทำได้แต่มันอาจจะไม่ใช่คุณที่ทำได้ อย่าทู่ซี้เลย

8 ข้อสุดท้าย(ที่นึกออกตอนนี้)ควรตั้งเป้าของตัวเองให้เห็นผลภายใน 1 ปี
ธุรกิจทั่วๆไปเค้ายังวางแผนกันเลยว่าทำกี่ปีถึงจะคุ้มทุน ธุรกิจเครือข่ายมันก็เป็นธุรกิจเหมือนกัน ถ้าแววว่าคุณจะทำได้ มันเห็นตั้งแต่ 3-6 เดือนแรกแล้วล่ะ แต่ให้เป็นอย่างช้า 1ปี เผื่อเวลาดื้อดึงไม่ยอมรับตัวเอง หรือเผื่อมีปาฎิหาริย์ ยอมตัดใจออกมามองหาอย่างอื่นที่เหมาะกว่าเพื่อไม่ให้เสียเงินและเสียเวลาไปกว่านี้จะดีกว่า เหมือนเล่นหุ้นถ้ารู้ว่าจะขาดทุนแน่ๆ ก็ต้องทำใจ cut loss เสียตอนนี้ดีกว่าหมดตัว

อ้อ อันนี้ขอร้องสำหรับใครที่เข้าสุ่ธุรกิจนี้แล้ว ขอร้องจริงๆใครที่มีความคิดว่าต้องทุ่มเทอย่างหนักจะได้สำเร็จ อนาคตจะพาพ่อแม่ ลูก แฟนไปเที่ยวต่างประเทศ แต่ตอนนี้หน้าตาแทบไม่เห็นกันเลย ขอให้หันไปถามคนรอบข้างที่คุณรักก่อนว่าเค้าต้องการแบบไหนระหว่าง ขอทุ่มงานหนักแทบไม่ได้เจอหน้า ไม่ได้ไปเที่ยวไหนกันเลย แล้วอีก 3 ปีข้างหน้า(อาจ)จะสบายทั้งครอบครัว พาครอบครัวไปเที่ยวต่างประเทศ กับ แบ่งเวลาให้กับงาน ให้กับครอบครัวเท่าๆกัน จริงๆ ของแบบนี้มันเดินไปด้วยกันได้นะ ทำไมจะต้องเลือกอย่างใดอย่างนึง แล้วคิดเผื่อบ้างหรือเปล่าว่าสมมุติอีก 3 ปีคุณสำเร็จคนรอบข้างคุณจะยังอยู่ให้เห็นกันครบ

พ่อแม่ทุกคนถ้าไปถามจริงๆก็คงแค่อยากให้ลูกมีงานทำที่มั่นคง มีเงินใช้ไม่ขาดมือ มีเวลามาดูแลใส่ใจพ่อแม่ พาพ่อแม่ไปหาหมอยามป่วยไข้ แค่นี้ก็ถือว่ากตัญญูแล้ว ไม่รู้ใครปลูกฝังว่าต้องรวยๆๆ ต้องพาไปเที่ยวต่างประเทศถึงจะเป็นลูกกตัญญูได้

ที่พูดมาทั้งหมดนี่เป็นความเห็นส่วนตัวล้วน ๆ ไม่ได้ต้องการจะดิสเครดิตขายตรงใดๆ แต่สำหรับเราอะไรก็ดีหมดนะ แผนก็ดี สินค้าก็ดี แต่เราเบื่อสังคมจอมปลอมของวงการนี้จิงๆ รับไม่ได้อย่างแรง ขอเป็นลูกค้าอย่างเดียวพอละกัน

สำหรับคนที่จะเข้าสู่วงการนี้ ไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ ขายตรงว่าง่าย ก็ไม่ง่าย ว่ายากก็ไม่ยาก จับให้ถูกทาง รักจะขายก็ใส่หัวใจนักขายลงไปด้วย แล้วจะได้รับรุ้ถึงพลังเครือข่ายที่ว่า "ไม่รู้เงินที่ได้มา มันมาจากทางไหน" สู้ๆ ^^

ธนาคารปรับอัตราดอกเบี้ย


เริ่มเห็นมีทยอยปรับกันไปแล้วก็เลยรวบรวมเท่าที่หาได้มาฝาก เริ่มที่ไทยพาณิชย์ก่อนละกัน มีผล 15 กค 53 ปรับแต่อัตราดอกเบี้ยฝากประจำ ส่วนเงินกู้ยังเท่าเดิม -ฝากประจำ 3 เดือน จาก 0.65 % เป็น 0.75% , -ฝากประจำ 6 เดือน จาก 0.65% เป็น 0.90% -ฝากประจำ 12 เดือน โดยฝากน้อยกว่า 5 ล้านบาท จาก 0.65% เป็น 1% และฝากตั้งแต่ 5 ล้านบาท เป็น 1.20% -ฝากประจำ 24 เดือน จาก 1.50 % เป็น 1.75% -ฝากประจำ 36 เดือน จาก 1.75% เป็น 2.00% สำหรับนิติบุคคล -ฝากประจำ 3 เดือน จาก0.50% เป็น 0.60 % -ฝากประจำ 6 เดือน จาก 0.50 % เป็น 0.75 % -ฝากประจำ 12 เดือน ต่ำกว่า 5 ล้านบาทเพิ่มจาก 0.50 %เป็น 0.85 % และตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ปรับขึ้นเป็น 1.05% -ฝากประจำ 24 เดือน จาก1.25 %เป็น1.50% -ฝากประจำ 36 เดือน จาก1.50% เป็น 1.75% สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยังไม่เปลี่ยน โดยอัตราดอกเบี้ย เงินกู้ลูกค้าชั้นดี แบบมีระยะเวลา(MLR) 5.85% , อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เบิกเกินบัญชี (MOR) อยู่ที่ 6.15% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) อยู่ที่ 6.45% ธนาคารกรุงไทย มีผล 16 กค 53 ปรับทั้งอัตราดอกเบี้ยฝากประจำ และ เงินกู้ ฝากประจำ 3 เดือน จากอัตรา 0.65% ต่อปี เป็น 0.90% ต่อปี ฝากประจำ 6 เดือน และ 12 เดือน จากอัตรา 0.65% ต่อปี เป็น 1.00% ต่อปี ฝากประจำ 24 เดือน จาก 1.50% ต่อปี เป็น 1.75% ต่อปี ฝากประจำ 36 เดือน จาก 1.75% ต่อปี เป็น 2.00% ต่อปี ด้านดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ปรับจาก 5.875% ต่อปี เป็น 6.00% ต่อปี MOR ปรับจาก 6.125% เป็น 6.250% และ MRR ปรับจาก 6.45% ต่อปี เป็น 6.60% ต่อปี พร้อมเพิ่มทางเลือกลูกค้าเงินฝาก ออกผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นเงินฝากประจำ 39 เดือน ให้อัตราดอกเบี้ย 3.00% ต่อปี (ฝากขั้นต่ำ 50,000 บาท) และตั๋วแลกเงินอายุ 39 เดือน ให้อัตราดอกเบี้ย 3.30% ต่อปี (ฝากขั้นต่ำ 100,000 บาท) โดยจ่ายดอกเบี้ยให้ทุกเดือน เริ่ม 19 กค 53 ธนาคารกรุงเทพ ปรับอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้ มีผล 19 กค 53 ฝากประจำ 3 เดือน จาก 0.750% เป็น 0.875% ฝากประจำ 6 เดือน จาก 0.750% เป็น 1.000% เงินฝากประจำ 12 เดือน จาก 0.750% เป็น 1.250% ฝากประจำ 24 เดือน จาก 1.500% เป็น 1.750% ฝากประจำ 36 เดือน จาก 1.750% เป็น 2.000% สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR จาก 5.875% เป็น 6.000% ,MOR จาก 6.125% เป็น 6.250% ,MRR จาก 6.375% เป็น 6.500% อัตราดอกเบี้ยสูงสุดยังคงเป็นอัตราเดิม กรณีปกติเท่ากับ 11.500% และกรณีผิดนัดชำระหนี้เท่ากับ 15.000% มีผลตั้งแต่ 19 กค 53 ส่วนธนาคารอื่น ๆเดี๊ยวหาข่าวมาฝากนะจ๊ะ

11 กรกฎาคม 2553

ราคากองทุนต่างกัน เลือกกองทุนไหนดี


ต่อยอดจากครั้งที่แล้ว ถ้าใครไปงานตลาดนัดกองทุนรวมมา หรือมือใหม่มากๆ อาจมีงงกันได้ อะไรเนียะ กองทุนเยอะไปหมด แล้วจะเลือกอะไรดี

สิ่งแรกเลย คือเลือกกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนตรงกับความต้องการของเราก่อน เช่น ยอมรับความเสี่ยงได้น้อยมาก แต่ก็อยากได้ผลตอบแทนที่มากกว่าดอกเบี้ยออมทรัพย์อาจจะไปเล่นกองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารหนี้ พันธบัตร หรือยอมรับความเสี่ยงสูงได้ แต่ไม่มีเวลานั่งดูหุ้นก็อาจเลือกกองทุนที่ลงทุนในหุ้น ไรพวกนี้ เป็นต้น

ซึ่งเมื่อรุ้แล้วว่าเราอยากจะลงทุนกับกองทุนรวมประเภทไหน ปัญหาต่อมาก็คือ แล้วจะเลือกที่ไหนดีล่ะ นโยบายลงทุนคล้าย ๆ กัน แต่บางที่ Nav สูง บางที่ Nav ต่ำ ควรจะตัดสินใจยังไงดี หลายคนไม่กล้าซื้อกองทุนที่มีราคาต่อหน่วยสูงๆ เพราะกลัวว่าผลตอบแทนจะน้อย บางคนคิดว่ากองทุน 5 บาทกับ 15 บาท ถ้าได้ผลตอบแทน 1 บาทเท่ากัน กองทุนที่มีราคา 5 บาทจะดีกว่า แต่อย่าลืมว่ากองทุนส่วนใหญ่จะมีราคาขายครั้งแรกที่ 10 บาทเท่ากัน หมายความว่ากองทุนที่มีราคามากกว่า 10 บาท ก็คือกำไรที่กองทุนนั้นทำได้ ส่วนกองทุนที่มีราคาต่ำกว่า 10 บาท ก็มองได้ว่า กองทุนนั้นบริหารแล้วขาดทุน!

ตัวอย่าง 1
กองทุน A และกองทุน B เปิดขายกองทุนพร้อมกัน ที่ราคาต่อหน่วยครั้งแรก 10 บาทเท่ากัน นโยบายลงทุนเหมือนกันทุกประการ
เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี กองทุน A มีราคาหน่วยลงทุนอยู่ที่ 11 บาท ส่วนกองทุน B ราคาหน่วยลงทุนอยู่ที่ 11.5 บาท นั่นก็เท่ากับว่า กองทุน B ให้ผลตอบแทนดีกว่า กองทุน A หรือ ผลการดำเนินการย้อนหลังของกองทุน B ดีกว่ากองทุน A จะเลือกกองทุนไหนดี

ตัวอย่าง 2
กองทุน A ตั้งกองทุนเมื่อ 1 มค 2551 และกองทุน B ตั้งกองทุนเมื่อ 1 มค 2552 ที่ราคาต่อหน่วยครั้งแรก 10 บาทเท่ากัน นโยบายลงทุนเหมือนกันทุกประการ
ปัจจุบันราคาหน่วยลงทุนของ กองทุน A 11 บาท กองทุน B 10.7 บาท ดูกองทุน A จะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า แต่เดี๊ยวก่อน กองทุน A ตั้งก่อนกองทุน B เป็นปี ผลตอบแทนมากกว่าย่อมไม่แปลก (ถ้าน้อยกว่านี่เลิกสนใจได้เลย) แต่จะบอกว่าถ้าเจอกรณีแบบนี้ก็ให้วัดกันด้วยผลการดำเนินงานย้อนหลัง โดยเปรียบเทียบในช่วงเวลาเดียวกันมาวัด

ตัวอย่าง 3
กองทุน A ราคา NAV ปัจจุบันอยู่ที่ 20 บาทต่อหน่วย ส่วนกองทุน B ราคา NAV อยู่ที่ 40 บาทต่อหน่วย นโยบายลงทุนเหมือนกันทุกประการ ผลการดำเนินงานย้อนหลังกองทุน A อยู่ที่ 12% และ กองทุน B อยู่ที่15%
บางคนอาจจะเลือกกองทุน A เพราะซื้อด้วยเงินเท่ากันแต่ได้จำนวนหน่วยลงทุนเยอะกว่ากองทุน B เป็นเท่าตัว แต่ในความเป็นจริง ผลตอบแทนที่คำนวนมาในรูปของร้อยละ (%) นั้นเค้าคิดเป็นกำไรต่อเงินต้น ซึ่งไม่เกี่ยวว่าจะมีหน่วยมากหรือน้อย ผลตอบแทนที่ % เยอะกว่า ย่อมหมายถึง ผลตอบแทนตัวเงินที่สูงกว่านั่นเอง

นอกจากนี้ ค่าธรรมเนียมจัดการ ค่าธรรมเนียมซื้อขาย ความสะดวกในการซื้อขายหน่วยลงทุน ก็ควรนำมาพิจารณาด้วย ยิ่งถ้าสามารถซื้อขายผ่าน internet ได้ และไม่ค่อยมีปัญหาจะยิ่งทำให้สะดวก รวดเร็วมากๆ

สรุปๆ
- ถ้าจะพูดถึงเรื่องผลกำไรที่มากหรือน้อยนี้ขึ้นกับนโยบายกองทุนที่เลือกนะจ๊ะ เลือกกองทุนที่ลงทุนในหุ้นย่อมมีผลตอบแทนที่ดีกว่ากองทุนที่ลงในตราสารหนี้แน่นอน แต่ความเสี่ยงก็มากด้วยเช่นกัน ก่อนตัดสินใจลงทุนอ่านหนังสือชี้ชวนให้ละเอียด
- ถ้าใช้เป็นตัวช่วยในการตัดสินเลือกกองทุน บลจ.ไหนดี ควรนำผลการดำเนินการในอดีตของกองทุนมาเปรียบเทียบ "เป็นกี่%ต่อปี" มากกว่าราคา Nav ที่สูง ต่ำ

งงกันไม๊เนียะ

07 กรกฎาคม 2553

ตลาดนัดกองทุนรวม


มาแล้ว ๆ สำหรับใครที่สนใจ คันไม้คันมืออยากลงทุนไปกับกองทุนรวม แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง ลองไปงานนี้ดู

ตลาดนัดกองทุนรวม : Mutual Fund Fair @SIAMPARAGON
8-11 ก.ค.53 นี้ 10.00-20.00 น.ศูนย์การค้าสยามพารากอน ชั้น M


ที่มา : http://thaimutualfundnews.com/

ภายในงานจะได้พบกับกิจกรรม
• รับคำปรึกษาวางแผนการลงทุนในกองทุนรวม กับ 15 บลจ.ชั้นนำ
• บริการคำนวณภาษีเพื่อลงทุนในกองทุนรวม RMF - LTF
• บริการตรวจเช็คสถานะการลงทุน ผลการดำเนินการกองทุน
• เลือกลงทุนกับกองทุนเปิดใหม่ IPO ( 9 กอง – AYF /BBLAM / Aberdeen / KTAM / K-Asset / TMBAM / SEAMICO / ONEAM )

Promotion พิเศษสำหรับผู้สนใจที่จะลงทุน
- ต่อที่ 1 ทุก บลจ. ได้จัดเตรียมของสมนาคุณสำหรับผู้ลงทุนในงาน
- ต่อที่ 2 ของสมนาคุณจากโครางการให้เงินทำงาน ผ่านกองทุนรวม
- ทุกการลงทุนกองทุนรวมในงาน ไม่ว่าที่ใด เท่าไหร่ รับ กระเป๋ากองทุนรวม
- ลงทุนในกองทุน รวม RMF-LTF รับผ้าขนหนู
- หากอายุ23-30 ปี ที่ลงทุนใน RMF-LTF 50 คนแรกรับ เสื้อยืด MP-MP คนที่ 51 เป็นต้นไปรับ ผ้าขนหนู

เพิ่มเติม
http://www.set.or.th/th/highlight_flash/files/20100621_MutualFundFair.jpg
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9390453/I9390453.html

ขอสั้นๆได้ใจความแค่นี้ก่อนละกันนะสำหรับวันนี้ดึกมากแล้ว
ฝันดีนะคะทุกคน^^